Sunday, February 1, 2015

ชีวิต คือ การทำงาน ? ใช่หรือไม่?


ชีวิต คือ การทำงาน ? ใช่หรือไม่?

เคยเขียนไว้ตั้งแต่ปี 2011... จากที่ได้อ่านหนังสือพิมพ์มติชน เค้ามีคอลัมภ์ แท็งก์ความคิด ที่พูดเรื่อง เกี่ยวกับงานหนังสือแห่งชาติ และ หัวข้อ "ชีวิตคือการทำงาน" รู้สึกว่า มันโดนใจมาก... และน่่าจะมีประโยชน์ต่อใครหลายๆคน ทั้งคนที่เป็นพ่อแม่ นักเรียน นักศึกษา และคนที่กำลังทำงานทั่วไป เพราะ ถ้าได้คำตอบในเรื่องนี้เร็ว ก็จะไม่มีช่วงชีวิตที่สับสน หรือถ้ามีก็มีสั้นๆ เพราะ พอเกิดคำถาม ก็มีคำตอบแบบเร็วๆ งงมั๊ย? ทำไมอยู่ๆ มาเกริ่นอะไรทำนองนี้ ไม่ไม่เป็นไร ลองอ่านดูน่ะ ถ้าคนไหน ไม่เคยเกิดขึ้นเลยก็ โชดดีไป ....ก็เลยเอามาลงใน Blog อีกครั้ง เผื่อกำลังเกิดขึ้นกับบางคน....

แต่ถ้าคิดในอีกแง่ ก็คือ น่าเสียดายหากไม่เกิดช่วงเวลาแบบนี้ขึ้นในชีวิตคนๆหนึ่ง เพราะมันก็ถือเป็นรสชาดของชีวิตที่ดี รสชาดหนึ่งเหมือนกัน...


เคยมั๊ย? ที่ในชีวิตที่ผ่านมา เกิดคำถามกับตัวเองว่า เราเกิดมาเพื่ออะไร?????

เรากำลังทำงานอยู่นี้เพื่ออะไร? เรากำลังเรียนอยู่นี้ทำไม?????

เพื่อให้ได้งานดีๆเหรอ หรือเพื่อหาเงินให้ได้เยอะๆ แล้วได้งานดีๆ แล้วได้เงินเยอะๆ แล้วเราจะเอาไปทำอะไร ซื้อของใช้ที่สนองความต้องการของตนเองและครอบครัวเหรอ หรือเราต้องมีเงินเก็บน่ะ เพราะอนาคตเป็นสิ่งไม่แน่นอนเหรอ  หรือเอาไว้ช่วยคนอื่น ไง เวลาที่เค้าต้องการความช่วยเหลือ คนเราต้องรู้จักให้คนอื่นบ้าง...

ยังงั้นหรือเปล่า? แล้วทำไมเราต้องทำตามคนอื่นๆในสังคม ตามที่กล่าวมาข้างต้นทั้งหมด เราทำอย่างอื่นไม่ได้เหรอ ที่เป็นอยู่นี่ งานก็ดี เงินก็ดี เรียนก็เก่ง แต่ไม่เห็นมีความสุขเลย ทำไมชีวิตมันถึงเหนื่อยได้ขนาดนี้ ทำไมเรี่ยวแรงมันหายไปไหนหมด ... มีแต่คนอยากให้ทำงานให้...ทั้งงานทั้งเงิน หลั่งไหลมา...

มันสงสัยอยู่ตลอดเวลาว่า เรากำลังทำอะไรอยู่ เราต้องการอะไรกันแน่ เราเกิดมาเพื่ออะไร จริงๆแล้ว แล้วชีวิตต่อจากนี้ไป เราจะมีชีวิตต่อไปยังไง ต้องทนกับความรู้สึก หรือคำถามนี้ต่อไปจนตายเลยเหรอ มีใครจะช่วยหาคำตอบได้บ้างมั๊ย ถือว่าช่วยเอาบุญ อะไรทำนองนี้นะ เคยเกิดคำถามประมาณนี้มั๊ย?

คำตอบน่ะเหรอ อันนี้แล้วแต่คนน่ะ ไม่จำเป็นต้องเหมือนกัน แต่เท่าที่เราได้ลองถามผู้มีประสบการณ์ชีวิตทั้งหลาย ลองค้นหาจากการอ่านหนังสือต่างๆ  เป็นช่วงระยะเวลาเกือบ 1 ปี ที่พยายามหาคำตอบจากคำถามเหล่านี้ที่เกิดขึ้น...

ง่ายๆก็คือ เราใช้เวลา 1 ปี ในการค้นหาตนเอง ไปพร้อมๆกับที่ต้องทนกับความรู้สึกที่เหนื่อยกับชีวิตเหลือเกิน เหนื่อยกับงานมากจนแทบขาดใจ ซึ่งคนอื่นไม่รู้หรอกเพราะ เราใช้วิธีเปลี่ยนที่อยู่ไปๆมาๆ ไปหาเยี่ยมเพื่อนคนนั้นที คนนี้ที เพื่อเพิ่มเรียวแรงในการใช้ชีวิตไปเป็นวันๆ พูดง่ายๆคือ เพื่อสามารถทำงานต่อไปได้ เพราะไม่ทำงานก็ไม่มีเงิน ไม่มีเงินแล้วจะมีชิวิตต่อไปยังไง...

แต่สำหรับเราก็อาจจะโชดดี ตรงที่ งานที่ทำอยู่มันเอื้อให้สามารถทำแบบนั้นได้ อยู่ที่ไหนก็ทำงานได้ ต้องขอบคุณระบบอินเตอร์เน็ต ระบบโทรศัพท์ มันเจริญขึ้นมาจนทำให้เราสามารถทำแบบนี้ได้  ทำงานโดยที่ไม่มีใครรู้ว่า เราอยู่ตรงไหนในประเทศ หรือโลกใบนี้ .....ไปไหนมาไหนได้เองเพราะโตแล้ว พ่อแม่ไม่ต้องห่วง โดยที่ไม่มีใครรู้ว่า เรากำลังสับสนในชีวิตขั้นรุนแรงมาก ถึงมากที่สุด...

ในที่สุดก็พบคำตอบ ต้องบอกว่า ใจของเรามันตกผลึกเองน่ะ จากการกลั่นจากความคิด ข้อมูลต่างๆทั้งการอ่าน การถามผู้รู้ต่างๆ คำตอบของเราคือ "ชีวิตมันก็คือ การทำงาน คนเราเกิดมาก็เพื่อทำงาน" ซึ่งงานที่ว่าแล้วแต่ว่า แต่ละคนจะบอกว่ามันเป็นยังไง เพราะมันขึ้นอยู่กับวัยแต่ละคน หรือขึ้นอยู่กับการค้นพบตัวเอง วัยเด็ก งานก็คือ การเรียน วันสูงอายุ งานก็คือ งานอดเรก หรือไม่ ก็การดูแลลูกหลาน การทำตัวเป็นศูนย์รวมจิตใจของหลายๆครอบครัว ก็คืองาน...

แต่ประเด็นมันอยู่ตรงที่ว่า เราต้องใช้ชีวิตกับการทำงานให้เกิดตวามสุขในชีวิตได้อย่างไรต่างหาก ที่มันยาก และต้องคิดให้ดี   ซึ่งมันก็ตรงกับหลักวิทยาสตร์ทางสมองที่ได้บอกไปแล้วว่า สมองชอบความรู้สึกที่มีความสุข มันจะส่งผลไปต่อทุกๆส่วนของร่างกายต่อไป และในช่วงเริ่มต้น งานที่ทำกับสิ่งที่ชอบอาจจะไม่ใช่สิ่งเดียวกัน แต่เราจำเป็นต้องตอบสนองหน้าที่และความคาดหวังของคนรอบข้างก่อน แต่หากที่จะไม่ลืมตั้งคำถามและพยายามหาคำตอบ สุดท้ายเราก็จะค้นพบในสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุข ซึ่งบางครั้งมันก็คือ สิ่งเดียวกับที่เราทำมาตั้งแต่แรกนั้นเอง...


ที่นี้กลับมาในส่วนที่ว่า บทความที่อ่านจากมติชนนี้มันโดนใจยังไง นั่นก็คือ ในบทความก็เขียนคล้ายๆกันว่า " การศึกษาเพื่อตอบสนองการทำงาน มนุษย์ เป็นสิ่งมีชีวิตที่ธรรมชาติบังคับว่าต้องทำงาน"

 ตอนเด็ก เรียกงานว่า "เรียน"

ตอนโต เรียกงานว่า "งาน"

ตอนชรา เรียกงานว่า "งานอดิเรก"

 แล้วเค้ายังเสนอคำสอนของท่านพุทธทาสที่คนส่วนใหญ่นับถือเหมือนกัน ในสิ่งที่ท่านสอนสั่ง "ทำงานคือการปฎิบัติธรรม" ตอกย้ำให้เห็นว่า "ทุกคนต้องทำงาน"

การทำงานคือเป้าหมายในการดำรงชีพ คนที่ทำงานเพื่องาน จะรู้สึกรักงาน อุตสาหะพยายาม ฝึกฝนการทำงานจนเชี่ยวชาญ  ตามหลักอิทธิบาท 4 ถ้าเริ่มที่มี "ฉันทะ"แล้ว... ชีวิตก็ง่ายขึ้นเยอะ มีความสุขขึ้นอีกเยอะ... แต่ถ้ายังไม่รู้ แต่ไปพยายามแก้ที่ปลายเหตุ แต่ไม่เริ่มกับคำถามที่ว่า มี "ฉันทะ"หรือป่าว...ก็คงยากที่จะมีความสุข...

ไม่รู้อ่านมาถึงตรงนี้ จะได้รับข้อมูลที่พยายามสื่อสารบอกหรือเปล่าน่ะ แต่ก็อย่างที่บอกไม่ได้บังคับ แล้วแต่คน แต่สำหรับคนที่ได้รับสารที่พยายามสื่อสาร ก็อยากจะให้ทุกท่าน พยายามสื่อสารต่อ ให้คนที่กำลังสับสน อาจจะเป็นท่านเอง หรือเป็นเด็กวัยเรียน เด็กวันรุ่นที่จะเป็นอนาคตของชาติต่อไป

ถ้ารู้ว่าการมีชีวิตคืออะไร เพื่ออะไร ยิ่ง Get เร็วเท่าไรยิ่งดี  ก็จะรู้ว่า คนเราทุกคนมีหน้าที่ต้องทำอย่างไรกันบ้าง จะได้ไม่ทำให้สังคมไทยเราแย่ลงไปเรื่อยๆ มองไม่เห็นอนาคตเลย รุมตีกัน แอบไปเสพยากัน หนีเที่ยวกลางคืนกัน จะเหลือมั๊ยเนี๊ยอนาคตคนที่หลงใช้ชีวิตเพื่อปัจจุบันเท่านั้น ไม่คิดถึงอนาคต แต่จะรู้มั๊ยว่า อนาคตก็คือผลจากปัจจุบันนั่นเอง

เพราะฉะนั้น หากรู้ว่า มีชีวิตเพื่ออะไร ก็จะทำให้ชีวิตมีความหมายมากขึ้น เหมือนกับ คนเดินทางที่มีแผนที่ รู้ว่ากำลังไปทิศทางไหน และเป้าหมายอยู่ตรงไหนกันแน่

"ขอให้ทุกคนที่ได้อ่าน โชดดีกับการเดินทางในการใช้ชีวิต ชีวิตก็คือการทำงานนะจ้ะ"